บทความและข่าวสาร

การเลือกใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตในอาหารสุกร
(เพิ่มเมื่อ: 10 เม.ย. 2555 )ในปัจจุบันการผสมอาหารในสัตว์ไม่ว่าจะเป็นอาหารสุกรหรือสัตว์ปีก มักจะหลีกเลี่ยงการใช้ปลาป่นใน สูตรอาหารโดยเกษตรกรบางรายอาจลดปริมาณการใช้ปลาป่นลงให้มากที่สุดหรือบางรายอาจจะเลิกใช้ไปเลยทั้งนี้ เนื่องจากมักประสบปัญหาการปลอมปนด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ ในปลาป่น ซึ่งทำให้คุณค่าทางอาหารของปลาป่นลดลง การลดหรือเลิกใช้ปลาป่นในสูตรอาหารซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีเคลเซียมและฟอสเฟตสูงกว่าวัตถุดิบชนิดอื่นๆ ใน สูตรอาหาร มีผลทำให้ระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในสูตรอาหารต่ำกว่าความต้องการของสัตว์อย่างมากประกอบ กับในปัจจุบันเกษตรกรนิยมเลี้ยงสุกรสายเดนมาร์กกันมากขึ้น สุกรสายพันธุ์เดนมาร์กนี้จะมีการเจริญเติบโตเร็วมาก ทำให้มีความต้องการโภชนะต่าง รวมทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าสุกรสายพันธุ์อื่นๆเกษตรกรจำเป็นจะต้อง เสริมแคลเซียมและฟอสฟอรัสให้สูงขึ้น แหล่งของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่นิยมนำมาใช้ในสูตรอาหารคือ
- 1. กระดูกป่น มีระดับแคลเซียมประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ และฟอสฟอรัสประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ กระดูกป่น มักประสบปัญหาการปนปลอมด้วยเปลือกหอยและหินปูน อีกทั้งมีระดับฟอสฟอรัสต่ำ ทำให้เกษตรกรไม่ค่อยนิยม ใช้ในสูตรอาหาร
- 2. ไดแคลเซียมฟอสเฟต เป็นแหล่งเสริมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เกษตรกรนิยมใช้กันมาก ที่มีขายในท้อง ตลาดมี 2 ชนิดคือ 2.1 ไดแคลเซียมที่ผลิตจากกระดูก มีระดับแคลเซียมประมาณ 24 % และฟอสฟอรัสประมาณ 18 % 2.2 ไดแคลเซียมที่ผลิตจากหินมีระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสค่อนข้างผันแปรขึ้นกับแหล่งหินที่นำมาผลิตใน ท้องตลาดจะมีขายหลายเกรดหลายราคาขึ้นกับระดับฟอสฟอรัส
แต่เดิมเกษตรกรนิยมใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตที่ทำมาจากกระดูกเพราะมีระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัส ค่อนข้างคงที่ และสัตว์สามารถใช้ประโยชน์ได้ดี แต่มีปัญหาคือมีราคาค่อนข้างแพงและหาซื้อได้ยาก ตลอดจน อาจพบปัญหาการปลอมปนด้วยฝุ่นหรือเปลือกหอยเช่นเดียวกัน ต่อมาได้มีการผลิตเเคลเซียมและฟอสเฟตจากหิน ฟอสเฟต (Rock Phosphate) โดยการนำมาผ่านขบวนการแบบแห้ง(Dry Process) คือการนำหินมาบดแล้วผ่าน ความร้อน จากนั้นเติมกรดฟอสฟอริคให้ระดับฟอสฟอรัสแตกต่างกันไปตั้งแต่ชนิดฟอสฟอรัส 14% 10%และ18% ซึ่งจากการทดลองของนวลจันทร์ และคณะ(2532) พบว่าไก่กระทงสามารถใช้ไดแคลเซียมชนิดฟอสฟอรัส 16% และ 18% ได้ดีกว่าระดับ 14% และชนิดฟอสฟอรัส 16% จะให้ผลไม่แตกต่างจากชนิดฟอสฟอรัส 18% ถ้าหากมี การปรับระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในสูตรอาหารให้เพียงพอกับความต้องการและอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตเเคลเซียมและฟอสเฟตจากหินดดยกรรมวิธีแบบเปียก(Wet Process) โดยการนำหินฟอส เฟตมาบดแล้วผ่านความร้อนใน reactor จากนั้นจึงนำมาเติมกรดฟอสฟอริคเพื่อเพิ่มฟอสฟอรัสให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการอาหารสัตว์ขนาดใหญ่มักนิยมสั่งไดแคลเซียมฟอสเฟตจากต่างประเทศโดย เชื่อว่าจะมีคุณภาพดีกว่า สัตว์สามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าไดแคลเซียมฟอสเฟตที่ผลิตภายในประเทศ จากการ ที่มีไดแคลเซียมฟอสเฟตหลายชนิดขายในท้องตลาดนี่เอง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะสุกรและสัตว์ปีก เกิดความสงสัยว่าจะเลือกใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตประเภทไหนดีจึงจะทำให้สัตว์ของตนเองมีการเจริญเติบโตดีอีก ทั้งต้นทุนไม่สูงมากนัก เกษตรกรบางรายก็ยังมีความเชื่อว่าไดแคลเซียมฟอสเฟตที่ผลิตจากหิน บางรายก็ยังไม่แน่ ใจนักเพราะยังขาดข้อมูลการใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตประเภทต่างๆ ในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพตลอด จนความสามารถในการใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตประเภทต่างๆในอาหารสัตว์ ซึ่งจะสามารถใช้เป็นข้อมูลในการเผย แพร่และแนะนำแก่เกษตรกรในการตัดสินใจเลือกใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตในสูตรอาหารได้อย่างถูกต้อง จึงได้ทำการ ทดลองบทการย่อยได้ของไดแคลเซียมฟอสเฟตประเภทต่างๆ ตลอดจนผลต่อสมรรถภาพการผลิตของลูกสูบ โดยใช้ ลูกสุกรหย่านมอายุ 4 สัปดาห์ จำนวน 24 ตัว แบ่งลูกสุกรออกเป็น 4 กลุ่มๆละ 6 ตัวเท่าๆกัน สุ่มลูกสุกรให้ได้รับ อาหารทดลองดังนี้
- อาหารสูตร 1 ใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากกระดูก (ระดับฟอสฟอรัส 18%)
- อาหารสูตร 2 ใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากหินผลิตแบบแห้ง (ระดับฟอสฟอรัส 18%)
- อาหารสูตร 3 ใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากหินผลิตแบบเปียก (ระดับฟอสฟอรัส 18%)
ปรับอาหารทดลองทุกสูตรให้มีคุณค่าทางโภชนะเพียงพอกับความต้องการของลูกสุกรตามคำแนะนำของ NRC (1984) โดยผลิตภัณฑ์แคลเซียมฟอสเฟตที่ใช้ในการทดลองนี้คือ
- 1. ไดแคลเซียมฟอสเฟตตราที่มีรูปต้นไม้ เป็นตัวแทนของไดแคลเซียมฟอสเฟตจากกระดูก
- 2. ไดแคลเซียมฟอสเฟตของบริษัท ดี ซี พี (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นตัวแทนของไดแคลเซียมฟอสเฟตจาก หินแบบแห้ง
- 3. ไดแคลเซียมฟอสเฟตของบริษัท สยามฟอสเฟต จำกัด เป็นตัวแทนของไดแคลเซียมฟอสเฟตจาก หินแบบเปียก
- 4. ไดแคลเซียมฟอสเฟตยี่ห้อ อาลีฟอส (Aliphos) จากประเทศเบลเยี่ยมป็นตัวแทนของไดแคลเซี่ยม ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ส่วนประกอบและคุณค่าทางโภชนะของอาหารทดลองทั้ง 4 สูตร ได้แสดงไว้ในตารางที่ 1 ลูกสุกรแต่ละตัว ถูกเลี้ยงในกรงขังเดี่ยว มีการให้น้ำและอาหารเต็มที่ ทำการบันทึกน้ำหนักทุกๆ สัปดาห์ตลอดจนปริมาณอาหารที่กิน สมรรถภาพการผลิตของลูกสุกร ผลการทดลองได้แสดงไว้ในตารางที่ 2โดยลูกสุกรที่ได้รับอาหารที่ไดแคลเซียมต่าง ชนิดทั้ง 4 ชนิดมีอัตราการเจริญเติบโตเท่ากับ 0.371 , 0.382 , 0.380 และ 0.375 ก.ก.ต่อวัน และประสิทธิภาพการใช้ อาหารเท่ากับ 1.59 1.58 1.59 และ 1.69 ตามลำดับ แม้ว่าความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้จะไม่มีนัยสำคัญทางสถิติก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มว่าลูกสุกรที่ได้รับไดแคลเซียมฟอสเฟตจากหินทั้ง 2 กรรมวิธีจะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าไดแคล เซียมจากกระดูกเล็กน้อย ในขณะที่ประสิทธิภาพการใช้อาหารไม่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แม้ว่าลูกสุกรที่ได้รับ อาหารที่ใช้ไดแคลเซียมจากหินจะมีการเจริญเติบโตสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับไดแคลเซียมจากกระดูกก็ตาม แต่ก็ไม่ได้บ่งบอก ถึงความสามารถในการนำไปใช้ประโยชน์ของไดแคลเซียมจากหินจะดีกว่าจากกระดูก ทั้งนี้เนื่องจากการเจริญเติบโตในช่วงลูกสุกรจะมีการเจริญของเนื้อเยื่อ , กล้ามเนื้อรวมทั้งกระดูกด้วย ร่างกาย ลูกสุกรมีความต้องการทั้งโปรตีน พลังงาน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ฯลฯ จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนะของ
ตาราง1 - แสดงส่วนประกอบของสูตรอาหารทดลอง
ส่วนประกอบ | สูตร 1 | สูตร 2 | สูตร 3 | สูตร 4 |
(ก.ก.) | (Bone) | (Rock Dry) | (Rock Wet) | (Rock-imported) |
ปลายข้าว | 55 | 55 | 55 | 55 |
กากถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน | 35 | 35 | 35 | 35 |
ไดแคลเซียมจากกระดูก | 3.0 | - | - | - |
ไดแคลเซียมจากหิน-แบบแห้ง | - | 3.0 | - | - |
ไดแคลเซียมจากหิน-แบบเปียก | - | - | 3.0 | - |
ไดแคลเซียมจากหิน-นำเข้าจากต่างประเทศ | - | - | - | 3.0 |
ไขมันสัตว์ | 4.0 | 4.0 | 4.0 | 4.0 |
กากน้ำตาล | 2.0 | 2.0 | 2.0 | 2.0 |
แอลไลซีน | 0.2 | 0.2 | 0.2 | 0.2 |
พรีมิกซ์ | 0.5 | 0.5 | 0.5 | 0.5 |
เกลือ | 0.35 | 0.35 | 0.35 | 0.35 |
คุณค่าทางโภชนะที่ได้จากการวิเคราะห์(%) | ||||
ความชื้น | 11.04 | 10.99 | 10.70 | 10.69 |
โปรตีน | 20.76 | 21.76 | 21.40 | 21.15 |
ไขมันสัตว์ | 6.93 | 6.54 | 7.44 | 7.44 |
เถ้า | 6.04 | 6.61 | 6.77 | 6.40 |
แคลเซียม | 1.15 | 1.45 | 1.35 | 1.39 |
ฟอสฟอรัส | 0.82 | 0.93 | 1.02 | 0.97 |
เยื่อใย | 3.24 | 3.06 | 3.58 | 4.10 |
อาหารทดลองพบว่าอาหารทุกสูตรมีระดับโภชนะต่างๆ มากกว่าความต้องการของลูกสุกร จึงทำให้สมรรถภาพการผลิต ไม่แตกต่างกัน จึงทำไมต้องมีการศึกษาถึงการย่อยได้ของแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากไดแคลเซียมทั้ง 4 ชนิด ดังแสดง ผลไว้ในตารางที่ 3 โดยลูกสุกรที่ได้รับอาหารที่ใช้ไดแคลเซียมทั้ง 4 ชนิด จะมีการย่อยได้ของแคลเซียมโดยเฉลี่ยเท่ากับ 78.65 , 81.39 , 86.74 , และเปอร์เซ็นต์ตามลำดับ และเปอร์เซ็นต์การย่อยได้ของฟอสฟอรัสโดยเฉลี่ยเท่ากับ 88.08 , 81.57 , 88.60 และ 96.15 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าการย่อยได้ของ แคลเซียมและฟอสฟอรัสจากไดแคลเซียม ที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะมีค่าสูงกว่าไดแคลเซียมฟอสเฟตจากกระดูกและจากหินทั้ง 2 กรรมวิธี แสดงว่าลูกสุกร สามารถย่อยและดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากไดแคลเซียมจากหินเช่นเดียวกัน แต่กรรมวิธีการผลิตอาจแตกต่างกัน จากไดแคลเซียมภายในประเทศ ส่วนการย่อยได้ของแคลเซียมจากแคลเซียมแบบเปียก จะมีค่าสูงกว่าไดแคลเซียมจาก กระดูกและจากหินแบบแห้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย่อยได้ของฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นตังบ่งชี้ถึงคุณภาพของไดแคลเซียม นั้นจะมีค่าใกล้เคียงกับไดแคลเซียมฟอสเฟตจากกระดูกและมีค่าสูงกว่าไดแคลเซียมชนิดแบบแห้ง ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ฟอสฟอรัสที่ได้จากไดแคลเซียมชนิดเปียก จะอยู่ในสภาพที่สัตว์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีเทียบเท่ากับไดแคล เซียมจากกระดูก ในขณะที่ไดแคลเซียมชนิดแบบแห้ง จะให้ค่าที่ต่ำกว่า
ตารางที่ 2 แสดงส่วนประกอบของสูตรอาหารทดลอง
สมรรถภาพการผลิต | สูตร 1 | สูตร 2 | สูตร 3 | สูตร 4 |
(Bone) | (Rock Dry) | (Rock Wet) | (Rock-imported) | |
จำนวนลูกสุกร (ตัว) | 6 | 6 | 6 | 6 |
น้ำหนักเริ่มต้นทดลอง (ก.ก.) | 6.23 | 6.15 | 6.25 | 6.33 |
น้ำหนักสิ้นสุดการทดลอง (ก.ก.) | 21.82 | 21.84 | 22.23 | 22.08 |
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น (ก.ก.) | 15.58 | 16.06 | 15.98 | 15.75 |
จำนวนวันทดลอง (วัน) | 42 | 42 | 42 | 42 |
อัตราการเจริญเติบโต (ก.ก./วัน) | 0.371 | 0.382 | 0.380 | 0.375 |
เปอร์เซ็นต์อัตราการเจริญเติบโต | 100 | 102.96 | 102.43 | 101.08 |
ปริมาณอาหารที่กิน (ก.ก) | 24.78 | 25.40 | 25.55 | 26.65 |
ประสิทธิภาพการใช้อาหาร | 1.59 | 1.58 | 1.59 | 1.69 |
เปอร์เซ็นต์ประสิทธิภาพการใช้อาหาร | 100 | 99.37 | 100 | 106.29 |
ต้นทุนต่อการเพิ่มน้ำหนัก | 11.50 | 11.32 | 11.43 | 12.28 |
ตารางที่ 3 แสดงค่าเฉลี่ยการย่อยได้ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากแหล่งต่างๆ
ค่าเฉลี่ยการย่อยได้ ของแคลเซี่ยม (%) | ค่าเฉลี่ยการย่อยได้ของฟอสฟอรัส (%) | |
ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากกระดูก | 78.65 ±2.42 | 88.08 ±1.9 |
ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากหินแบบแห้ง | 81.39 ± 3.05 | 81.57 ± 1.87 |
ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากหินแบบเปียก | 86.74 ± 4.03 | 88.60 ± 5.70 |
ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากต่างประเทศ (เบลเยี่ยม) | 92.05 ± 3.66 | 96.15 ± 3.27 |
ว่าฟอสฟอรัสที่ได้จากไดแคลเซียมชนิดเปียก จะอยู่ในสภาพที่สัตว์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีเทียบเท่ากับไดแคล เซียมจากกระดูก ในขณะที่ไดแคลเซียมชนิดแบบแห้ง จะให้ค่าที่ต่ำกว่า เมื่อคำนึงถึงด้านต้นทุนการผลิตเมื่อคิดราคาไดแคลเซียมจากกระดูก ไดแคลเซียมจากหินชนิดแบบแห้ง ไดแคลเซียมจากหินชนิดแบบเปียก และไดแคลเซียมที่นำเข้าจากต่างประเทศแล้ว ต้นทุนค่าอาหารต่อการเพิ่มน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมของลูกหมูที่ได้รับไดแคลเซียมทั้ง 4 ชนิด ทำให้ได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าไดแคลเซียมที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมีการย่อยได้ของแคลเซียม และฟอสฟอรัสสูงที่สุดก็ตาม แต่ก็มีต้นทุนค่าอาหารสูงที่สุดเช่นเดียวกันในขณะที่ไดแคลเซียมชนิดแบบแห้ง และแบบ เปียก จะมีต้นทุนค่าอาหารต่ำกว่า โดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่าเกษตรกรสามารถเลือกใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตจากหินทั้ง 2 ชนิด ใช้ในสูตรอาหาร ได้เป็นอย่างดี เพราะจะมีการย่อยได้ใกล้เคียงกันไดแคลเซียมจากกระดูกและต้นทุนค่าอาหารที่ถูกกว่าด้วย ในขณะที่ สมรรถภาพการผลิตก็ใกล้เคียงกัน